Thursday, June 27, 2024

รัตนวาปีดีเดย์กวาดล้างยาเสพติด รวบผู้ต้องหา 1 ราย ยึดของกลางยาบ้าและไอซ์


ตำรวจ สภ.รัตนวาปึ สนธิกำลัง 3 ฝ่ายดีเดย์ออกกวาดล้างจับกุมผู้ค้ายาเสพติดในพื้นที่ อ.รัตนวาปี จ.หนองคาย รวบเป้าหมายผู้ต้องหา 1 ราย พร้อมยึดของกลางยาบ้าและไอซ์


วันที่ 27 มิ.ย.2567 เวลา 05.30 น. ตำรวจ สภ.รัตนวาปี เข้าแผนปฏิบัติการกวาดล้างยาเสพติดในพื้นที่ หมู่ที่ 9 ต.รัตนวาปี อ.รัตนวาปี จ.หนองคาย โดยสนธิกำลังเจ้าหน้าที่ 3 หน่วย ทั้งฝ่ายปกครองอำเภอรัตนวาปี กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี และสถานีเรือรัตนวาปี (นรข.เขต หนองคาย) เข้าตรวจค้นบ้านเป้าหมายที่มีการค้ายาเสพติดพื้นที่ อ.รัตนวาปี ตามหมายค้นของศาลจังหวัดหนองคาย ทำการจับกุมผู้ต้องหาได้ 1 ราย ชื่อนายเอ นามสมมุติ อายุ 44 ปี  หนึ่งในเอเยนต์ค้ายาเสพติดตามแบล็กลิสต์ของ อ.รัตนวาปึ ภายใต้การอำนวยการของ พลตรี นราธิป โพยนอก ผบ.พล.ร.3, นายวุฒิชัย ชัยภูวนารถ นายอำเภอรัตนวาปี, พ.ต.อ.เตชรัฐ ประทุมชาติ ผกก.สถ.รัตนวาปี, ว่าที่ น.ท.อริยะ ทองมั่น หน.สถานีเรือรัตนวาปี




จากการตรวจค้นภายในบ้านของผู้ต้องหา พบยาบ้า 249 เม็ด ไอซ์ 2 กรัม เงินสด 10,000 บาท ยึดรถ จยย. diamond GPX 150 cm สีแดงดำ 1 คัน พร้อมส่งปัสสาวะไปตรวจที่โรงพยาบาลรัตนวาปีพบมีสารเสพติด และนายเอ ยอมรับว่าเพิ่งเสพยามา 



โดยจากการสืบสวนด้านการข่าวของชุดสืบสวน สภ.รัตนวาปี และการประสานด้านการข่าวกับ ชุด ชปข. ที่ 2 กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี ดำเนินการตามคำสั่งตำรวจภูธรจังหวัดหนองคาย ให้เข้าทำการปิดล้อมตรวจค้นบ้านเป้าหมายผู้ค้ายาเสพติด โดย ร.ต.อ.รุ่งรุด ประจิมทิศ รอง.สว.สส.สภ.รัตนวาปี ได้รับแจ้งว่ามีนายเอ มีพฤติการณ์ค้ายาบ้าโดยใช้บ้านของนายเอ เป็นที่จำหน่ายและเป็นที่พักยา จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ พร้อมสนธิกำลัง 3 ฝ่ายเข้าตรวจค้นบ้านพักของนายเอ โดยนายเอให้การรับสารภาพว่า ยาบ้าและยาไอซ์ ของกลางที่ค้นพบในบ้านเป็นของตนจริงโดยมีไว้เพื่อเสพและขายให้กลุ่มวัยรุ่นในพื้นที่ ซึ่งตนจะรับยาบ้ามาขายครั้งละประมาณ 1-2 ถุง (ถุงละ 200 เม็ด) และนำยาบ้ามาขายในราคาเม็ดละ 50 บาท  เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวนายเอ พร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวน สภ.รัตนวาปี เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

ภาพ/ข่าว : โภควินทร์ นันทจันทร์








Tuesday, June 25, 2024

กฟภ.หนองคายเร่งรื้อถอนเสาไฟแรงสูง หลังโดนพายุซัดโค่นระนาวกว่า 20 ต้น



จนท.กฟภ.หนองคายระดมกำลังเร่งรื้อถอนและตั้งเสาพาดสายเสาไฟฟ้าแรงสูงกว่า 20 ต้นที่หักโค่นขวางถนนขาเข้า อ.โพนพิสัย เส้นทาง 212 เมืองหนองคาย-โพนพิสัย หลังถูกพายุฝนซัดถล่มเมื่อคืนที่ 24 มิ.ย.ผ่านมา ทำให้ไฟฟ้าดับ 3 อำเภอ คาดใช้เวลา 2 วันแล้วเสร็จ


เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. 2567 เจ้าหน้าที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดหนองคาย ได้ระดมกำลังเร่งทำการรื้อถอนเสาไฟฟ้าแรงสูงถนนหลวงสาย 212 เส้นเมืองหนองคาย – โพนพิสัย บริเวณจุดก่อสร้างเขื่อนห้วยหลวง อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย ที่ถูกพายุฤดูฝนพัดถล่มหักโค่นล้ม เมื่อคืนวันที่ 24 มิ.ย.ที่ผ่านมา กว่า 20 ต้น ทำให้พื้นที่อำเภอโพนพิสัย อำเภอรัตนวาปี และอำเภอเฝ้าไร่บางส่วน ซึ่งหลังจากทำการรื้อถอนเสาไฟที่หักโค่นออกแล้วก็ได้ดำเนินการติดตั้งเสาไฟใหม่แทนเสาเดิมที่หักโค่นเสียหาย 



ทั้งนี้แรงพายุทำให้เสาไฟฟ้าแรงสูงล้มเป็นระยะยาวกว่า 500 เมตร ทำให้ไฟฟ้าทั้ง 3 อำเภอดับทันที ตั้งแต่ช่วง เวลาประมาณ 05.00 น ของวันที่ 25 มิ.ย. กว่าเจ้าหน้าที่จะเข้าดำเนินการจ่ายกระแสไฟฟ้าจากแหล่งอื่นมาชดเชยก็กินเวลาไปหลายชั่วโมง


นายจักรกฤษ ศิษย์ศาสตร์ ผู้จัดการ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดหนองคาย กล่าวว่า สาเหตุเกิดจากน้ำเซาะดินตรงที่ทำถนนทำให้เสาไฟฟ้าล้มเมื่อล้มต้นหนึ่งก็ดึงอีกหลายต้นล้มลงมา ประมาณ 20 กว่าต้น ตอนนี้แก้ปัญหาเบื้องต้นตัดจ่ายกระแสไฟฟ้าแรงสูงให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าส่วนใหญ่ได้ใช้เกือบทั้งหมดแล้ว ตอนนี้แรงต่ำก็เหลืออีกจุดหนึ่งคือบริเวณจุดเกิดเหตุ จึงจำเป็นต้องใช้ mobile เครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำรองมาจ่ายให้ คาดว่าวันนี้จะจ่ายให้ได้ ส่วนการแก้ปัญหาเสาไฟฟ้าที่ล้มคาดว่าวันพรุ่งนี้กับวันมะรืนก็น่าจะแล้วเสร็จ ต้องใช้ระยะเวลาพอสมควรเพราะล้มลงมากว่า 20 ต้น เหตุเกิดช่วงเวลาประมาณ 05.00 น.เมื่อคืนวันที่ 24 มิ.ย.ที่ผ่านมา ส่วนผลกระทบเกิดใน 3 อำเภอ ก็จะมีตัวอำเภอโพนพิสัย รัตนวาปี แล้วก็เฝ้าไร่บางส่วน แต่ตอนนี้จ่ายไฟฟ้าได้หมดแล้วทั้ง 3 อำเภอยกเว้นบริเวณจุดเกิดเหตุเท่านั้น

ภาพ/ข่าว : โภควินทร์ นันทจันทร์






Friday, June 21, 2024

รอง ผจว.หนองคายเปิดงานประเพณีบุญบั้งไฟขอฝน ชิงถ้วยพระราชทาน 21-22 มิ.ย. 67

รอง ผจว.หนองคาย เปิดงานประเพณีบุญบั้งไฟเทศบาลตำบลเวียงคุก ชิงถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ระหว่าง 21-22 มิ.ย. 67 สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์และบูชาพญาแถน เพื่อขอฝน


วันที่ 21 มิ.ย  2567 ที่ บริเวณกองอำนวยการริมถนนพนังชลประทาน หน้าวัดสาวสุวรรณาราม ต.เวียงคุก อ.เมืองหนองคาย จ.หนองคาย  นายชาญชัย คงทัน รองผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย เป็นประธานในพิธีเปิดงานประเพณีบุญบั้งไฟเทศบาลตำบลเวียงคุก ประจำปี 2567 ชิงถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยมี นายสุชาติ ทอนมณี นายอำเภอเมืองหนองคาย นายเทิดพงษ์ มั่นคง นายกเทศมนตรีตำบลเวียงคุก พร้อมด้วยคณะผู้บริหารเทศบาลฯ ส่วนราชการ สมาชิกสภาเทศบาลฯ พนักงาน/ลูกจ้าง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนพี่น้องประชาชนในพื้นที่และใกล้เคียง เข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง 




กิจกรรมในวันนี้ ประกอบด้วย พิธีอัญเชิญถ้วยพระราชทานออกจากสำนักงานเทศบาลตำบลเวียงคุก เคลื่อนขบวนไปยังกองอำนวยการฯและทำพิธีเปิดการประกวดขบวนแห่แห่บั้งไฟสวยงาม ชิงถ้วยรางวัลพระราชทาน สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมาร การประกวดบั้งไฟเอ้ใหญ่ บั้งไฟโบราณ ขบวนฟ้อนรำจากคณะนางรำทั้ง 8 ชุมชน และการละเล่นต่างๆ เกี่ยวกับตำนานประเพณีบุญบั้งไฟตลอดทั้งวันที่สุดยิ่งใหญ่อลังการ โดยงานประเพณีบุญบั้งไฟฯ จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 21 ถึง 22 มิถุนายน 2567 โดยวันสุดท้ายนั้น จะเป็นวันจุดบั้งไฟเพื่อสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์และบูชาพญาแถน





นายเทิดพงษ์ มั่นคง นายกเทศมนตรีตำบลเวียงคุก กล่าวว่า เทศบาลตำบลเวียงคุก ร่วมกับชุมชนทั้ง 8 ชุมชน กำหนดจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟ  ที่เป็นงานประจำปีที่ยิ่งใหญ่ จนเป็นประเพณีที่ถือปฏิบัติสืบทอดกันมาช้านานตั้งแต่โบราณกาล โดยจะถือเอาวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 7 ของทุกปีเป็นวันจัดงาน เพื่ออนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมและประเพณีอันดีงามของท้องถิ่น ให้คงอยู่และถ่ายทอดสู่อนุชนรุ่นหลัง รวมทั้งส่งเสริมการท่องเที่ยวของตำบลเวียงคุก และมีความเชื่อว่าการแห่บั้งไฟ การจุดบั้งไฟ คือการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์และพระยาแถน เพื่อขอให้ฝนตกต้องตามฤดูกาลในการทำการเกษตรกรรม มีน้ำท่าอุดมสมบูรณ์ และเป็นการรักษาประเพณีฮีตสิบสอง ครองสิบสี่ ซึ่งเป็นประเพณีของชาวอีสาน รวมถึงส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่นและภูมิปัญญาชาวบ้าน




นายชาญชัย คงทัน  รอง ผจว.หนองคาย กล่าวว่า ชาวตำบลเวียงคุกได้ถือปฏิบัติจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟ และจัดขบวนแห่บั้งไฟที่มีความยิ่งใหญ่สวยงามเป็นประจำทุกปี จนประสบความสำเร็จและมีผู้คนกล่าวถึงอย่างมากมาย เป็นสิ่งที่บ่งบอกได้เป็นอย่างดีถึงความสมัครสมานสามัคคี ความเสียสละ ความเข้มแข็งของประชาชน และแสดงถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ส่วนราชการและพ่อค้าประชาชนในชุมชน ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาท้องถิ่นร่วมกันอย่างยั่งยืนสืบไป




รอง ผจว.หนองคาย กล่าวอีกว่า การจัดขบวนแห่มั้งไฟที่มีความสวยงามนั้น ทราบว่าคณะกรรมการจัดงานได้เน้นในเรื่องการจัดตกแต่งด้วยวัสดุที่มาจากธรรมชาติ และมีอยู่ในท้องถิ่น ยิ่งบ่งบอกถึงภูมิปัญญาท้องถิ่น ศิลปะอันวิจิตรงดงาม ความคิดสร้างสรรค์ นับเป็นเรื่องที่ดี ควรที่จะปฏิบัติสืบต่อกันไป















Wednesday, June 12, 2024

“ไทย – ลาว” เจ้าภาพจัดประชุมเครือข่ายการแพทย์พื้นบ้านลุ่มน้ำโขง ครั้งที่ 11 โชว์ศักยภาพการแพทย์พื้นบ้านและแพทย์ดั้งเดิม 6 ประเทศสมาชิก เอาชนะวิกฤตโรคโควิด - 19


วันที่ 12 มิ.ย. 2567 ที่ โรงแรมรอยัลนาคาราและคอนเวนชั่นฮอล์หนองคาย จ.หนองคาย นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข และ ดร.ไพวัน แก้วปะเสิด รองรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ร่วมเป็นเจ้าภาพเปิดการประชุมเครือข่ายการแพทย์พื้นบ้านลุ่มน้ำโขง ครั้งที่ 11 ภายใต้แนวคิด "การเอาชนะวิกฤตโรคระบาดโควิด - 19 ด้วยภูมิปัญญาการแพทย์พื้นบ้านและการแพทย์ดั้งเดิม"


นายสันติฯ รมช.กระทรวงสาธารณสุขไทย กล่าวว่า ลุ่มแม่น้ำโขง เป็นภูมิศาสตร์ลุ่มน้ำที่กว้างใหญ่ครอบคลุมพื้นที่ 6 ประเทศ มีกลุ่มชาติพันธุ์อาศัยอยู่จำนวนมาก ซึ่งการแพทย์พื้นบ้านและการแพทย์ชาติพันธุ์ยังคงมีบทบาทในการดูแลสุขภาพ การป้องกันและรักษาโรคในชุมชน นับเป็นแหล่งรวบรวมความรู้และภูมิปัญญาด้านการรักษาพื้นบ้านอันเก่าแก่ยาวนาน โดยปัจจุบัน องค์การอนามัยโลก (WHO) และรัฐบาลหลายแห่งทั่วโลก รวมถึงประเทศจากภูมิภาคล้านช้าง-แม่โขง ตระหนักถึงการนำภูมิปัญญาการแพทย์ดั้งเดิมและการแพทย์พื้นบ้านมาใช้ดูแลสุขภาพประชาชน มีการวางแผนยุทธศาสตร์ด้านการแพทย์ดั้งเดิม (WHO Traditional Medicine Strategy) เพื่อกำหนดแนวทางพัฒนาการแพทย์ดั้งเดิมและการแพทย์เสริมของโลก



รมช สธ.ไทย กล่าวอีกว่า การประชุมเครือข่ายการแพทย์พื้นบ้านลุ่มน้ำโขงครั้งนี้ จึงมีความสำคัญอย่างมาก ในการเชื่อมโยงการแพทย์พื้นบ้านกับวิทยาศาสตร์ที่ทันสมัย ผ่านการแลกเปลี่ยนความรู้ ส่งเสริมความร่วมมือ และเสริมสร้างรากฐานภูมิปัญญาการแพทย์พื้นบ้าน โดยอาศัยภูมิปัญญาร่วมกันของ 6 ประเทศสมาชิก ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างศักยภาพและความเข้มแข็งของเครือข่ายการแพทย์พื้นบ้านในการแก้ไขปัญหาสุขภาพยุคใหม่ ตลอดจนเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาและขยายเครือข่ายความร่วมมือเชิงนโยบาย ผลักดันงานวิจัยด้านการแพทย์ดั้งเดิมและการแพทย์พื้นบ้าน มุ่งสู่ความเป็นเลิศทางวิชาการในอาเซียน เพื่อสุขภาพที่ดีขึ้นสำหรับประชาชนทุกคน


ดร.ไพวันฯ รอง รมต สธ.สปป.ลาว กล่าวว่า เป็นโอกาสดีที่ได้กลับมาทำงานร่วมกันในระดับภูมิภาค ซึ่งการประชุมเครือข่ายการแพทย์พื้นบ้านลุ่มน้ำโขง ครั้งที่ 11 นี้ จะทำให้ข้าราชการ นักวิชาการ นักวิจัย นักศึกษา หมอพื้นบ้าน และวิชาชีพด้านการดูแลสุขภาพในภูมิภาคล้านช้าง-แม่โขง ได้แลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ และข้อมูลเชิงหลักฐานในการใช้ภูมิปัญญาการแพทย์ดั้งเดิมและการแพทย์พื้นบ้านในการรักษาพยาบาลผู้ป่วยโควิด - 19 ที่ครอบคลุมการใช้พืชสมุนไพรในทุกขั้นตอน ตลอดจนเสริมสร้างความร่วมมือด้านงานวิจัยทางวิชาการและการคุ้มครองภูมิปัญญาด้านการแพทย์ดั้งเดิมและการแพทย์พื้นบ้านในระดับภูมิภาคอย่างลึกซึ้งต่อไป 


ด้าน นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า สปป.ลาว โดยสถาบันการแพทย์ดั้งเดิม ร่วมกับ ราชอาณาจักรไทย โดยกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ได้ร่วมกันเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมฯ ครั้งที่ 11 ระหว่างวันที่ 12-14 มิถุนายน 2567 โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนพิเศษกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ภายใต้โครงการสร้างความร่วมมือด้านการแพทย์ดั้งเดิมและการแพทย์พื้นบ้านเพื่อตอบสนองต่อการระบาดของโควิด - 19 ผู้เข้าร่วมประชุม ประกอบด้วย ผู้แทนจากประเทศสมาชิก 6 ประเทศ หมอพื้นบ้าน นักวิชาการ ผู้ประกอบการ และสถาบันการศึกษา จำนวน 300 คน มีกิจกรรมสำคัญ ได้แก่ การนำเสนอผลงานและการอภิปราย การสาธิตภูมิปัญญาของหมอพื้นบ้านเด่น (Show case) การศึกษาดูงานเส้นทางท่องเที่ยวสุขภาพและผลิตภัณฑ์สมุนไพรในราชอาณาจักรไทย และสวนพฤกษศาสตร์ใน สปป.ลาว ตลอดจนการประชุมคณะกรรมการด้านวิชาการและด้านการคุ้มครองภูมิปัญญาการแพทย์ดั้้งเดิมและพันธุกรรมพืชสมุนไพร เพื่อจัดทำแผนการดำเนินงานร่วมกันของประเทศลุ่มน้ำโขง ซึ่งจะทำให้เกิดเครือข่ายความร่วมมือและระบบข้อมูลสำคัญในการพัฒนาเชิงยุทธศาสตร์ อาทิ ฐานข้อมูลหมอพื้้นบ้านกว่า 50,000 คน และตำรับยาแผนไทย/พื้นบ้าน กว่า 250,000 ตำรับ เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการดูแลสุขภาพ สร้างเศรษฐกิจและรายได้ให้กับประชากรลุ่มน้ำโขง